วงซิมโฟนี ออร์เคสตร้า ( Symphony Orchestra)
วงดุริยางค์ชนิดนี้เป็นวงที่มีขนาดใหญ่มาก
ประกอบด้วยกลุ่มเครื่องดนตรี 4 กลุ่ม คือ เครื่องสาย เครื่องเป่าลมไม้ เครื่องเป่าลมทองเหลือง
และเครื่องประกอบจังหวะ บรรเลงเป็นแนวๆ แต่ละแนวจะมีนักดนตรีเล่นดนตรีชนิดเดียวกันหลายคนโดยมีกลุ่มเครื่องสายเป็นเครื่องดนตรีหลัก และเป็นกลุ่มเครื่องดนตรีที่มีความสำคัญมากในวงดุริยางค์ วงดนตรีในลักษณะนี้จะมีผู้อำนวยเพลงถือไม้ (ไม้ที่ถือเรียกว่า “Baton”) ตามรูป ยืนอยู่บนแท่นเล็กๆหน้าวง ผู้อำนวยเพลงจะมีหน้าที่ควบคุมการบรรเลงของนักดนตรีทั้งหมด
ในส่วนขนาดของวงจะเล็กหรือใหญ่ขี้นอยู่กับจำนวนผู้เล่นในกลุ่มเครื่องสาย การจัดวง Symphony
Orchestra คำนึงถึงความกลมกลืน
ความสมดุลของเสียงเครื่องดนตรีแต่ละกลุ่ม
โดยทั่วไปกลุ่มเครื่องสายจะอยู่ด้านหน้าสุด ส่วนเครื่องลมทองเหลืองและเครื่องกระทบจะอยู่ด้านหลังสุด
บริเวณกลางของวงจะเป็นเครื่องลมไม้
ลักษณะวงดนตรีซิมโฟนี ออร์เคสตร้า
ประวัติของวงออร์เคสตรา
วงออร์เคสตรา เป็นภาษาเยอรมัน หมายถึง สถานที่เต้นรำ
เป็นส่วนหน้าเวทีของโรงละครสมัยกรีกโบราณในยุคกลาง
ความหมายได้เปลี่ยนเป็นเวทีที่ใช้แสดงเท่านั้น และในกลางศตวรรษที่ 18 วงออร์เคสตรา หมายถึง
การแสดงของวงดนตรี ซึ่งใช้มาจนปัจจุบัน อีกนัยหนึ่งก็ยังหมายถึง
พื้นที่ระดับต่ำที่เป็นที่นั่งอยู่หน้าเวที ละคร และการแสดงคอนเสิร์ต ในระยะแรก การใช้เครื่องดนตรีไม่มีการระบุแน่นอนว่ามีการบรรเลงเป็นอย่างไร
ต่อมาในระยะศตวรรษที่ 16 มีโอเปราเกิดขึ้นทำให้มีความจำเป็นต้องการให้มีการบรรเลงกลมกลืนกับนักร้องจึงเริ่มมีการกำหนดเครื่องดนตรีลงในบทเพลงโดยเป็นลักษณะของวงเครื่องสายออร์เคสตรา (String
Orchestra) มีผู้เล่นจำนวน 10-25 คน ในศตวรรษที่ 17 เริ่มมีการเพิ่มเครื่องลมไม้
และในตอนปลายยุคบาโรก (ประมาณ ค.ศ.
1750)ผู้ประพันธ์เพลงเริ่มระบุจำนวนเครื่องดนตรีไว้ในบทเพลงโดยละเอียด
มีการเพิ่มเครื่องลมทองเหลือง และเครื่องประกอบจังหวะ
วงออร์เคสตราเริ่มมีการพัฒนารูปแบบจนได้มาตรฐานในยุค คลาสสิก (ศตวรรษที่ 18) บทเพลงประเภทซิมโฟนีมีการพัฒนารูปแบบที่หลากหลาย
ได้แก่ บทเพลงประเภท คอนแชร์โต โอเปรา และเพลงร้องเกี่ยวกับศาสนา
นอกจากนี้ในวงออร์เคสตรายังมีเครื่องดนตรีแต่ละประเภทครบถ้วน คือ
ในกลุ่มเครื่องสายประกอบด้วย ไวโอลิน วิโอลา เชลโล และดับเบิลเบส
ในกลุ่มเครื่องลมไม้ ประกอบด้วยฟลูต
คลาริเน็ต โอโบ
บาสซูน
ในกลุ่มเครื่องลมทองเหลืองประกอบด้วย ฮอร์น ทรัมเป็ต ทรอมโบน
และทูบาและในกลุ่มเครื่องตีประกอบด้วย กลองทิมปานี กลองใหญ่
และเครื่องประกอบจังหวะอื่นๆ ซึ่งจะมีรายละเอียดตามความต้องการของผู้ประพันธ์เพลง
ต่อมา ในยุคโรแมนติก วงออร์เคสตราเริ่มมีขนาดใหญ่ขึ้น
ทั้งนี้ก็เพื่อแสดงความยิ่งใหญ่และสื่ออารมณ์ของบทเพลงให้ชัดเจน
ความนิยมในบทเพลงประเภทบรรยายเรื่องราว (Symphonic poem) ทำให้วงออร์เคสตรามีผู้แสดงถึง 100 คน
และนับว่าเป็นการพัฒนาถึงขีดสุดจนถึงยุคศตวรรษที่ 20 เนื่องจากผลกระทบหลังสงครามโลกครั้งที่ 1 ทำให้วงมีขนาด
ลดลงซึ่งในการจัดวงนั้นก็ขึ้นกับปัจจัยทางสังคม เช่น เศรษฐกิจ
การเมือง เป็นต้น เช่นเดียวกับการประพันธ์บทเพลง
วาทยกร (conductor)
วาทยกร
หรือผู้อำนวยเพลง
คือคนที่ตีความหมายของบทเพลง โดยเห็นภาพรวมทั้งหมดของวงดนตรี มีหน้าที่ดึงความสัมพันธ์ของเครื่องดนตรีแต่ละชิ้นออกมาเพื่อสอดผสานรวมเป็นหนึ่งเดียวกัน
อาจกล่าวอีกนัยได้ว่า วาทยกรเป็นผู้ที่สื่อสารกับนักดนตรีด้วยภาษามือ เป็นเหมือนภาษาใบ้ที่ใช้กับดนตรี
พร้อมกันนี้วาทยกรต้องมีความเป็นผู้นำที่สามารถให้ความเชื่อมั่นแก่นักดนตรีด้วย
เสมือนผู้กำกับ
Gustavo Dudamel วาทยกรระดับโลก
วาทยกรควบคุมวงดนตรีโดยการใช้รหัสหรือ สัญญาณมือ
มักถือไม้บาตอง (Baton) ที่มือขวา
สำหรับให้จังหวะ
ส่วนมือซ้ายจะควบคุมในด้านอื่น
เช่น ให้นักดนตรีเล่นเสียงดังหรือค่อย
หรือเป็นการ
แสดงออกด้านอารมณ์อื่น ๆ ที่วาทยกรต้องการ
สื่อสารกับนักดนตรีในวง
ไม้บาตอง ⇾
วงดนตรีที่เป็นมาตรฐาน อาจเปรียบได้แบบนี้ 👍👍มีเครื่องดนตรี+นักดนตรี เสมือนอวัยวะส่วนต่างๆ ของร่างกาย และต้องเป็นอวัยวะที่มีคุณภาพด้วยมีวาทยกร เสมือน สมองที่เป็นศูนย์บัญชาการของอวัยวะส่วนต่างๆอย่าง ด้วยความชัดเจนเฉียบคม พริ้วไหว สามารถถ่ายทอดอารมณ์บน แผ่น Score โน้ต 🎶สู่โสตของ ผู้ชมได้อย่างสมบูรณ์
บทเพลงที่ใช้ในวงออร์เคสตร้า
1. ซิมโฟนี (Symphony)
เป็นบทเพลงต้นแบบของเพลงประเภทต่างๆ
ที่ใช้บรรเลงสำหรับวงซิมโฟนีออร์เคสตรา ซึ่ง นิยม
ในยุคคลาสสิก (1750-1820) ส่วนใหญ่ประพันธ์โดยไฮเดิน (106 บท) โมซาร์ท (ประมาณ 50 บท) ในยุคโรแมนติกเป็นบทเพลงที่มีความไพเราะ
สง่างามและแสดงออกถึงอารมณ์ จิตวิญญาณของดนตรีในยุคผู้ประพันธ์ที่สำคัญ เช่น
ชูเบิร์ต ชูมานน์ เป็นต้น ซิมโฟนีโดยปกติ ประกอบด้วย 3-4 ท่อน โดยรูปแบบจังหวะแต่ละท่อนเป็นเร็ว-ช้า-เร็ว หรือ เร็ว-ช้า-เร็ว/ปานกลาง-เร็ว
2. คอนแชร์โต (Concerto)
เป็นบทเพลงสำหรับเครื่องดนตรีเดี่ยวเพื่อแสดงฝีมือของผู้บรรเลงร่วมบรรเลงกับวงออร์เคสตรา
เกิดขึ้นในยุคบาโรกและมีแบบแผนที่เป็นมาตรฐานในยุคคลาสสิก
ด้านรูปแบบมีลักษณะคล้ายกับซิมโฟนีแต่มีเพียง 3 ท่อน
ประกอบด้วย เร็ว-ช้า-เร็ว
คอนแชร์โตที่นิยม คือ เปียโนคอนแชร์โตและไวโอลินคอนแชร์โต
3.
โอเปรา (Opera)
เป็นละครเพลงร้องที่ใช้วงออร์เคสตราในการบรรเลงดนตรีประกอบ
และดำเนินเรื่องใช้การร้องเป็นหลัก โอเปราแบ่งได้ 2 ประเภท คือ โอเปรา ซีเรีย (Opera Seria) เป็นเรื่องราว
เกี่ยวกับชนชั้นสูง เนื้อหาเกี่ยวกับโศกนาฏกรรม ความรัก และโอเปรา
ชวนหัว (Comic Opera, Opera buffa) เนื้อหาเป็นเรื่องสามัญชนทั่วไป
แนวสนุกสนาน ตลกขบขัน ดำเนินเรื่องรวดเร็ว
บางโอกาสอาจมีโอเปราอีก 2 ประเภท คือ
โอเปเรตตา (Operetta) เป็นโอเปราขนาดเล็ก
มีแนวสนุกสนานทันสมัย ใช้การพูดแทนการร้องในบทสนทนา และคอนทินิวอัสโอเปรา (Continuous
Opera) เป็นโอเปราที่ใช้ดนตรีเชื่อมโยงเรื่องราวตลอดตั้งแต่ต้นจนจบ
4.
ดนตรีบรรยายเรื่องราว (Simphonic poem)
เป็นบทเพลงที่ใช้เสียงดนตรีสื่อความหมายต่างๆ
หรือเล่าเรื่องราวตามความมุ่งหมายของผู้ประพันธ์ ซึ่งอาจเป็นการเล่าเรื่องราวหรือบรรยายภาพในลักษณะการเลียนเสียงธรรมชาติ
เช่น น้ำไหล นกร้อง เป็นต้น
บทเพลงประเภทนี้จะสื่ออารมณ์ความรู้สึกอย่างชัดเจน เกิดขึ้นใน ยุคโรแมนติกและได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก
5.
บัลเลต์ (Ballet)
เป็นบทเพลงที่ใช้สำหรับประกอบการแสดงละครคล้าย โอเปร่า แต่ไม่มีบทร้อง ผู้แสดงใช้การเต้นบรรยายแทนการสนทนา
ผู้ประดิษฐ์ท่าทางมีความสำคัญมากเพราะต้องสื่อเนื้อหาที่เข้ากับดนตรีและเนื้อเรื่อง
ดนตรีบัลเลต์จัดเป็นดนตรีที่บรรเลงด้วยวงออร์เคสตร้าที่มีความไพเราะสามารถฟังได้โดยไม่ต้องมีการแสดงประกอบแต่ประการใด
คำถาม?❗❗
♬♫โอเปราเป็นละครเพลงร้องที่ใช้วงออร์เคสตร้าในการบรรเลงดนตรีประกอบ
และดำเนินเรื่องใช้การร้องเป็นหลัก โอเปราแบ่งได้ 2 ประเภท ได้แก่ประเภทใดบ้าง
และมีเนื้อหาเป็นอย่างไร